ทำไม ‘Toyota’ ค่ายรถเบอร์ 1 ของโลก ยอมตกขบวนกระแส EV

ค่ายรถเบอร์ 1 กระแสรถยนต์ไฟฟ้าหรือ ‘EV’ มาแรงจนผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต่างพากันมุ่งหน้าสู่รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำตลาดอย่าง ‘เทสลา’ จากสหรัฐอเมริกา หรือแบรนด์จีนที่ปูทางมาก่อนอย่าง ‘BYD’ และ ‘MG’ ก็แข่งขันกันอย่างดุเดือดแม้แต่ Mercedes-Benz, Audi, Porsche และ Volkswagen จากยุโรปก็ยังกระโดดขึ้นรถไฟขบวนนี้เช่นกัน

ตอบโต้กลยุทธ์ของ ‘โตโยต้า’ แบรนด์รถยนต์จากญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคย ซึ่งเพิ่งเริ่มเคลื่อนไหวในเวลาต่อมา แม้ว่าเขาจะเคยเป็นผู้บุกเบิกรถยนต์ไฮบริดมานานกว่า 20 ปี เนื่องจากความสำเร็จของ ‘โตโยต้า พริอุส’ รถยนต์ไฮบริดมอเตอร์ไฟฟ้าคันแรกของโลกที่วางจำหน่ายจริงแม้ว่า ‘bZ3’ เพิ่งเปิดตัวซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับ Subaru แต่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ซึ่งเป็นรุ่นที่สองจาก Toyota ตามหลังรุ่น ‘bZ4X’ และ Toyota ยังคงมีเป้าหมายในการปล่อยยอดจำหน่ายทั้งหมด ประมาณ 30 EV รุ่นภายใน 9 ปี

รถยนต์ไฟฟ้าเป็นแค่ทางเลือก แต่ไม่ใช่ทางออกสุดท้าย

โตโยต้าเน้นย้ำมาหลายปีแล้วว่าเทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนรถยนต์ทั่วโลกให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในทันที โดยปัญหาหลักคือเวลาในการชาร์จ และระยะทางที่เดินทางต่อการชาร์จก็ยังไม่สามารถสู้กับเครื่องยนต์สันดาปหรือรถยนต์ไฮบริดได้ผู้บริหารของโตโยต้าเชื่อว่าพื้นที่ต่างๆ ของโลกจะมีระดับความสามารถในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ รวมถึงการจัดการพลังงานเรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนจาก ‘กิลล์ แพรตต์’ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์และซีอีโอของสถาบันวิจัยโตโยต้า ซึ่งให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีนี้ว่า “เราไม่สามารถบังคับให้ทุกคนในโลกเปลี่ยนมาใช้วิธีเดียวกันได้ แม้แต่ในเรื่องสิ่งแวดล้อม เราก็ต้องมีวิธีให้ทุกคนสามารถช่วยลดมลพิษด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน” toyota

นั่นทำให้ในขณะที่โตโยต้าลงทุนมากกว่า 28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ว่าจะลงทุนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 30 รุ่นให้แล้วเสร็จภายในปี 2573 แต่โตโยต้ายังคงลงทุนในรถยนต์ไฮบริดอย่าง ‘พริอุส’ และทางเลือกอื่นๆ ที่สามารถเทียบเคียงได้กับรถยนต์ BEV เช่น รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน รวมถึง ‘มิไร’ เจเนอเรชั่นที่ 2รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนมีการทำงานภายในคล้ายกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจนและออกซิเจนแทน ทำให้ปราศจากการปล่อยมลพิษโดยสิ้นเชิง จะมีเพียงไอน้ำออกมาจากท่อไอเสียเท่านั้น รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์สามารถเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนได้ในเวลาใกล้เคียงกับการเติมเชื้อเพลิงรถยนต์ปกติ

วัตถุดิบผลิตมีไม่พอต่อเป้าหมายของค่ายรถทั่วโลกรวมกัน

เพื่อให้บรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 เราอาจจำเป็นต้องแปลงรถยนต์ 2 พันล้านคันทั่วโลกให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งหมายถึงการใช้แร่ธาตุจำกัดจำนวนมหาศาลในโลก การผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า ‘ลิเธียมไอออน’ (Li-ion)’อากิโอะ โตโยดะ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโตโยต้า เชื่อว่าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า เช่น ลิเธียม และนิกเกิลเกรดแบตเตอรี่ จะ “ขาดแคลนอย่างรุนแรง” ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ว่าลิเธียมจะขาดแคลนภายในปี 2568 ตามด้วยโคบอลต์ภายในปี 2573 และนิกเกิลภายในปี 2583และถึงแม้ว่าโตโยต้าจะเตรียมแบตเตอรี่แบบ ‘โซลิดสเตต’ ที่สามารถชาร์จได้เร็วกว่าก็ตาม น้ำหนักเบาและมีประสิทธิภาพมากกว่า ‘ลิเธียมไอออน’ (Li-ion) ที่จะนำมาใช้จำหน่ายจริงในปี 2568 แต่โตโยต้าเลือกที่จะใส่ไว้ในรถยนต์ไฮบริดก่อนโตโยต้าให้เหตุผลว่าแบตเตอรี่ใหม่นี้จะยังคงมีราคาแพงในการผลิต toyota ดังนั้นควรใช้ในรถยนต์ไฮบริดที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่า จะทำให้สามารถควบคุมราคารถยนต์ได้มากขึ้น ส่วนอายุการใช้งานจะมีประสิทธิภาพขนาดไหน? ก็ต้องวัดจากรถไฮบริดอีกที

รถยนต์ไฟฟ้ายังไม่ใช่กระแสหลัก รักษ์โลกเป็นเพียงคำโฆษณา

Akio Toyoda เน้นย้ำตั้งแต่ก่อนกระแส EV ว่า “ยิ่งเราเหยียบคันเร่งเข้าสู่สังคม EV เร็วเท่าไร โลกก็จะยิ่งทำลายโลกมากขึ้นเท่านั้น”เขายังกล่าวถึงการผลิตพลังงานไฟฟ้าในญี่ปุ่นด้วย ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ หากทั้งโลกยังคงผลิตไฟฟ้าจากแหล่งเดียวกัน รถยนต์ไฟฟ้า ยังคงก่อให้เกิดมลพิษ61% ของไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2564 จะผลิตจาก ‘เชื้อเพลิงฟอสซิล’ เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือปิโตรเลียม

นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานยังเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า หากเรายกตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นแชมป์อุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ในส่วนของสถานีชาร์จยังมีอยู่จำนวนน้อย และเนื่องจากคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น แค่มีที่จอดรถก็ยากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการติดตั้งสถานีชาร์จที่บ้านซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อของผู้บริหารโตโยต้าว่าไม่ใช่ทุกพื้นที่จะพร้อมเปิดรับการเปลี่ยนผ่านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในทันที และอากิโอะ โตโยดะ ยังเสริมด้วยว่านโยบายห้ามใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาและยุโรป และจีน “อาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ” ค่ายรถเบอร์ 1

บทความที่เกี่ยวข้อง