ประเภทรถยนต์ ประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม

ประหยัดพลังงาน อุตสาหกรรมยานยนต์ถูกมองว่าเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เพราะตั้งแต่การผลิต การใช้งาน จนถึงการกำจัดเมื่อหมดอายุ ทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตของรถยนต์ล้วนใช้พลังงาน ประกอบกับความไม่แน่นอนด้านพลังงาน ราคาน้ำมันโลกมีความผันผวนและเพิ่มขึ้นทุกวัน ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์และผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจกับรถยนต์ประหยัดพลังงานและกระแสการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เราจึงได้พัฒนารถยนต์ที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นั่นก็คือ อีโคคาร์ ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน Toyota

รถเล็กประหยัดพลังงาน (Eco-car)

อีโคคาร์เป็นรถยนต์ที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา นอกจากจะช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยไอเสียแล้ว ในกระบวนการผลิตยังใช้วัตถุดิบและพลังงานน้อยกว่ารถยนต์ทั่วไปอีกด้วย อีโคคาร์มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่ต่ำกว่า 20 กม./ลิตร และต้องเป็นไปตามมาตรฐานไอเสียของรถยนต์ยูโร 4 โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 120 กรัม/กม. (มาตรฐาน UN/ECE) ข้อเสียของรถประเภทนี้คืออาจไม่เหมาะกับสภาพการจราจรบางประเภท เช่น ความปลอดภัยในการขับขี่บนทางหลวง ในด้านเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า

อีโคคาร์ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และคิดค้นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงเพื่อลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงให้มากที่สุด เนื่องจากรถยนต์ประเภทนี้มีขนาดกะทัดรัด ทำให้เหมาะกับคนในสังคมเมืองและสภาพการจราจรที่คับคั่ง ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ผลิตและการออกสิ่งจูงใจให้กับผู้บริโภค

ปัจจุบันได้มาถึงโครงการอีโคคาร์ เฟส 2 ซึ่งมีผู้ผลิตรถยนต์หลายราย มีผู้แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 10 คน เป็นผู้ผลิตรถยนต์เก่าที่เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ ระยะที่ 1 ได้แก่ นิสสัน ฮอนด้า มิตซูบิชิ ซูซูกิ และโตโยต้า ใหม่ ได้แก่ เชฟโรเลต ฟอร์จ มาสด้า โฟล์คสวาเกน และจีเอ็ม โดยตั้งเป้าการผลิต 1.5 ล้านคัน

รถพลังงานเชื้อเพลิงทางเลือกจากก๊าซธรรมชาติ (Alternative Energy Car)

พลังงานเชื้อเพลิงทดแทนเป็นนโยบายระดับชาติมาหลายปีแล้ว และได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเกือบทุกรายที่ผลิตรถยนต์ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงทดแทน เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (น้ำมันเบนซินผสมเอธานอล) และก๊าซธรรมชาติเหลว เช่น NGV การใช้เชื้อเพลิงประเภทนี้ นอกจากจะทำให้ผู้ใช้เองสามารถลดต้นทุนค่าน้ำมันได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้ประเทศประหยัดการนำเข้าพลังงานอีกด้วย เพราะทั้งหมดนี้ใช้วัตถุดิบในประเทศทั้งหมด ยังช่วยภาคเกษตรกรรมที่ปลูกพืชผลที่เป็นวัตถุดิบ เช่น อ้อย และมันสำปะหลัง เมื่อปลายปี 2555 Toyota

คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กพช.) มีมติให้ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมประกาศยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป ต่อไปจะเน้นส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 โดยตั้งเป้าหมายการใช้เอทานอล 3.0 ล้านลิตร/วัน ปี 2558 และ 9.0 ล้านลิตร/วัน ในปี 2564

รถพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle)

ยานพาหนะไฟฟ้าจัดเป็นยานพาหนะพลังงานสะอาด (Zero-Emissions Vehicle) ที่อาศัยพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนผ่านการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า แม้ว่าจะดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญ เช่น ขนาดและความจุของแบตเตอรี่ที่สามารถเดินทางได้ จำกัดต่อการชาร์จ ใช้เวลาชาร์จค่อนข้างนาน และสถานีชาร์จถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายในตลาดโลกจากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ หลายแบรนด์โดยมีผู้นำอย่าง จีเอ็ม นิสสัน ในปี 2556 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก รถยนต์ไฟฟ้า

จำนวนรถยนต์ (รวมถึง Pure EVs และ Plug-in Hybrid EVs หรือ PHEVs) อยู่ที่ประมาณ 200,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็นเวลาสองปีติดต่อกัน ตลาดหลักอยู่ที่อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น แม้ว่ารถยนต์ประเภทนี้จะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยของตลาดรถยนต์ทั่วโลกก็ตาม แต่มีอัตราการเติบโตที่สะดุดตา โดยเฉพาะจีนคาดว่าจะเป็นอีกตลาดสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต IHS Automotive ประมาณการว่าการผลิตทั่วโลกในปี 2557 จะอยู่ที่ประมาณ 400,000 คัน หรืออัตราการเติบโต 67%

รถไฮบริด (Hybrid Car)

ผู้เชี่ยวชาญจากหลายฝ่ายมองว่ารถยนต์ไฮบริดเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบในแง่ของการประหยัดพลังงาน ปกป้องสิ่งแวดล้อมและตอบสนองความต้องการในการขับขี่ในชีวิตประจำวัน หลักการทำงานของรถยนต์ไฮบริดคือการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม และมอเตอร์ไฟฟ้า ยังคงต้องใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นระบบขับเคลื่อนหลัก แต่มีมอเตอร์ไฟฟ้ามาเสริมการทำงาน และมีการเพิ่มแบตเตอรี่สำหรับกักเก็บไฟฟ้า ดังนั้น รถยนต์ไฮบริดจึงยังต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเหมือนรถยนต์ทั่วไป แต่จากการมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยในการทำงาน

ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและมีระบบช่วยลดมลพิษจากไอเสียรถยนต์ที่ปล่อยออกสู่ท้องถนน ปัจจุบันรถยนต์ไฮบริดมีการพัฒนาไปมาก ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฮบริดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Toyota Prius ซึ่งสามารถประหยัดค่าพลังงานได้มากมากกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีขนาดใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะการขับรถในเมืองที่มีการจราจรติดขัด

มีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง 22.5 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการขับขี่ในเมือง และ 19.6 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการขับขี่บนทางหลวง (มาตรฐานการประหยัดเชื้อเพลิงของ EPA) และลดการปล่อยมลพิษได้ 29% แต่อุปสรรคของรถยนต์ไฮบริด d คือราคา รถไฮบริดเต็มตัวมีราคาแพงกว่ารถยนต์ทั่วไปประมาณ 5,000 ถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าถึงไม่ได้

รถพลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Cell Vehicle)

ยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน (FCV) เป็นรถยนต์พลังงานสะอาดอย่างแท้จริง (ทั้งแหล่งพลังงานและการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์) แต่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาให้มีราคาถูกลง หลักการทำงานของรถยนต์ประเภทนี้คือ ถังไฮโดรเจนจะแปลงไฮโดรเจนเหลวเป็นไฟฟ้าและเก็บไว้ในเซลล์เชื้อเพลิงซึ่งเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมเพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถยนต์ การพัฒนารถยนต์ประเภทนี้อยู่ที่ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเพิ่มขนาดของถัง

อุปสรรคคือสามารถวิ่งระยะสั้นได้และลงทุนในสถานีบริการไฮโดรเจนเท่านั้น มีบริษัทรถยนต์หลายแห่งที่กำลังพัฒนารถยนต์ประเภทนี้ แต่ที่น่าสนใจคือโตโยต้า ล่าสุดที่งานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2013 รถต้นแบบโตโยต้า FCV ได้เปิดตัว รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนใหม่ล่าสุดที่คาดว่าจะผลิตและจำหน่ายในปี 2558 การเติมไฮโดรเจนแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงสามนาทีและสามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 กิโลเมตร ประหยัดพลังงาน

บทความที่เกี่ยวข้อง

  • ล้าง 4 ความเชื่อผิดๆ เวลาที่จะเลือกซื้อรถยนต์มือสอง
  • 5 รถประหยัดน้ำมัน ปี 2024 พร้อมแชร์ทริคประหยัดน้ำมัน
  • รถกระบะมือสองน่าซื้อ 2566 สมรรถภาพดุดัน ราคาไม่แรง